ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เล่าความหลังเรื่องเก่าๆเมื่อครั้งอดิต

การปฏิรูปเงินตรา
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
การปฏิรูปเงินตรา
                คำว่า “ ปฏิรูป ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.2542   ให้คำจำกัดความไว้ว่า     “ ปรับปรุงให้สมควร ”   ซึ่งเป็นคำที่สะท้อนให้ท่านผู้อานเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่า     พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรับปรุงระบบเงินตราไทยให้สมควรแก่เวลา     และสถานการณ์ในขณะนั้นอย่างไรบ้าง
                เงินตราที่ใช้ตอนต้นราชกาล  คือ  เงินพดด้วง   ต่อมาเมื่อ  พ.ศ. 2396     มีผู้ทำเงินพดด้วงปลอม     ทำให้ประชาชนเดือดร้อน     พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงให้พิมพ์ “ หมาย ” เงินกระดาษชนิดแรกออกใช้   มี  3ชนิดราคาคือ  หมายราคาต่ำ   หมายราคากลาง   และหมายราคาสูง       ทำด้วยกระดาษสีขาว   พิมพ์ลวดลายด้วยหมึกสีดำ     ประทับสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์จักรี     รูปพระแสง-จักร   และพระราชลัญจกรประจำพระองค์   รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ   แต่ประชาชนไม่นิยม   จึงเลิกใช้ไปในปีใดไม่มีการประกาศไว้แน่ชัด
                ในราชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว      ภัยสงครามระหว่างไทยกับพม่า  ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาได้หมดสิ้นไป     แตรกลับมีภัยจากจักรวรรดินิยมตะวันตกเข้ามาแทนที่     ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ทรงใช้พระวิจารณญาณในการที่จะรักษาพระราชอาราเขตให้รอดพ้นจากภัยจักรวรรดินิยมตะวันตก     ที่กำลังแผ่ขยายมายังประเทศในแถบอุษาอคเนย์      พระองค์จึงต้องทรงทำสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์กับประเทศต่างๆ     โดยเริ่มทำกับอังกฤษเป็นประเทศแรกในพ.ศ.2398   รู้จักกันในนาม “ สนธิสัญญาเบาริง ”และต่อมาได้ทำสัญญากับนาๆประเทศ   คือ   ฝรั่งเศส   สหรัฐอเมริกา   เดนมาร์ก   โปรตุเกส   เนเธอร์แลนด์   และปรัสเซีย   ตามลำดับ   เพื่อถ่วงดุลอำนาจของอังกฤษ     หลังจากทำสนธิสัญญาเบาริงเพียง 1 ปี   การค้าขายระหว่างไทยกับต่างประเทศก็เจริญยิ่งขึ้น     พ่อค้าได้นำเงินเหรียญต่างประเทศ   อาทิ   เหรียญเม็กซิโก   เหรียญฮอลันดา   เป็นต้น   มาใช้ซื่อสินค้าในกรุงเทพมหานคร   แต่ไม่มีผู้ใดรับเงินเหรียญไว้เพราะไม่เคยใช้กันมาก่อน   และไม่เชื่อถือค่าของเงิน   ทำให้พ่อค้าต้องนำเงินเหรียญของตนไปแลกกับเงินพดด้วง   แต่เนื่องจากเงินพดด้วงผลิตด้วยมือ   จึงทำให้มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการ   เกิดความไม่สะดวกในด้านการค้า   พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริเปลี่ยนรูปเงินตราของไทยเป็นเงินเหรียญแบนซึ่งถือว่าเป็นเงินตราสมัยใหม่ของไทยเป็นครั้งแรก      เพื่อให้พอเพียงกับการขยายตัวทางการค้าของประเทศ
เงินเหรียญแบน
                ใน พ.ศ.2399   พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า   ให้ทดลองผลิตเหรียญแบน    หรือเรียกในสมัยนั้นว่า” เงินแป ”    ขึ้นใช้สองชนิด  คือ   เหรียญทองคำและเหรียญเงินตราพระแสงจักร-พระมงกุฎ-พระเต้า   และเหรียญ ทองคำและเหรียญเงิน   ตราพระ มหา มงกุฎ-กรุง เทพ   เหรียญชนิดนี้ที่สองนี้    ต่อมาเมื่อได้รูปแบบมาตรบานแล้ว    ได้กลายเป็นแบบให้ชาวต่างประเทศแกะเป็นแม่ตราเพื่อทำเหรียญแบบ ต่อไป      เหรียญทั้งสองชนิดเป็นเหรียญแบนแบบยุโรปที่ผลิตด้วยมือ    โดยตีโลหะเป็นแผ่นแบนๆ แล้วตัดให้เป็นรูปเหรียญกลมๆ ตามขนาดและน้ำหนักที่ต้องการ   แล้วใช้แม่ตราตีประทับ   แต่ผลิตออกใช้เพียงระยะเวลาสั้นๆ   ก็โปรดให้เลิกไป   เพราะผลิตได้ช้า   และไม่ค่อยเรียบร้อย
                 ต่อ มาในปี พ.ศ.2400  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า   ให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ ( ชุ่ม  บุนนาค ) เป็นราชทูตไป เฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถวิตอเรียที่กรุงลอนดอน  ประเทศอังกฤษ   ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถวิตอเรียได้จัดส่งเครื่องทำเงินเหรียญขนาดเ,กมาถวาย   พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าให้จัดทำเหรียญ ทองคำ   ชนิดราคาพัดดึงส์  และเหรียญเงิน  ตราพระแสงจักร-พระมหามงกุฎ  ชนนิดราคาหนึ่งบาท  สองสลึง  หนึ่งสลึง  และหนึ่งเฟื้อง  เนื่องจากผลิตจากเครื่องจักรที่ได้ถวายเป็นราชบรรณาการ     จึงเรียกว่า “ เหรียญบรรณาการ ”นับเป็นเหรียญแบนที่ผลิตจากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรก    เมื่อโรงกษาปณ์สิทธิการสามารถเดินเครื่องจักรผลิตเงินเหรียญได้ในปี พ.ศ.2403  จึงไม่ได้ใช้เครื่องดังกล่าวอีกตลอดราชกาล
                ต่อมา   เครื่องจักรทำเงินเหรียญที่ใช้แรงดันไอน้ำ   ซึ่งคณะทูตไทยได้สั่งซื่อจากบริษัท  เทเลอร์  เมืองเบอร์มิงแฮม   ประเทศอังกฤษ   ได้จัดส่งเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ  ตอนปลายปี พ.ศ.2401   แต่ติดปัญหาด้วยช่างไทยชาวต่างประเทศที่มีหน้าที่ติดตั้งได้เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ  จนท้ายที่สุด  นายโหมด  อมาตยกุล ( พระยากษาปณ์กิจโกศล ) ได้ติดตั้งที่ค้างอยู่จนสำเร็จเมื่อต้นปี พ.ศ.2403  และรัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้าง  “ โรงกระสาปน์สิทธิการ ”  อันเป็นโรงกษาปณ์แห่งแรกของไทยขึ้นในพระบรมราชวัง   ริมประตูสุวรรณบริบาลทิศตะวันออก   และเริ่มผลิตเหรียญเงินตราพระมหามงกุฎ-พระแสงจักร   ซึ่งคล้ายกับเหรียญบรรณาการ  มี 5 ชนิดราคา  คือ  หนึ่งบาท  สองสลึง  หนึ่งสลึง  หนึ่งเฟื้อง  กึ่งเฟื้อง  และเหรียญทองพัดดึงส์อีกจำนวนหนึ่งด้วย   ออกใช้เมื่อวันที่  17  กันยายน  พ.ศ. 2403   แต่ยังโปรดเกล้า ฯ  ให้ใช้เงินพดด้วงอยู่   เพียงแต่ไม่ผลิตเพิ่ม
        สำหรับเงินปลีกนั้น   ยังคงใช้หอยเบี้ยในการซื่อขายเหมือนที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา   แต่ในรัชสมัยของพระองค์มักประสบปัญหาราคาเบี้ยไม่แน่นอน   ขึ้นกับปริมาณการนำเข้ามาขายของพ่อค้า  ใน พ.ศ. 2405   พระองค์จึงโปรดเกล้า ฯ  ให้ผลิตเหรียญดีบุกผสมทองแดง   ตราพระมหามงกุฎ-พระแสงจักร   ขึ้นใช้เป็นเงินปลีก    บางขนาดเล็กเรียกว่า  เบี้ยกะแปะ  หรือกะแปะดีบุก   ขนาดใหญ่เรียกว่า  อัฐ  เท่ากับ  เบี้ยขนาดเล็กเรียกว่า โสฬส  เท่ากับ  50 เบี้ย
                เมื่อ พ.ศ. 2406  มีทองคำเข้ามาในประเทศไทยมาก    รัชกาลที่ 4   จึงมีพระบรมราชโองการให้ทำเหรียญทองคำ  3  ขนาด  ขนาดใหญ่ราคา  8  บาท   เรียกว่า  ทศ  ขนาดกลางราคา  4  บาท  เรียกว่า  พิศ และขนาดเล็กราคา  10  สลึง  เรียกว่า  พัดดึงส์ ซึ่งราชกาลที่ 4   ได้ใช้เหรียญทองจ่ายเบี้ยหวัดแก่ข้าราชการในปีที่รัฐขาดแคลนเหรียญเงินด้วย
                ครั้งงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนพรรษา  60  พรรษาใน พ.ศ. 2407  รัชกาลที่  4  โปรดเกล้า ฯ ให้ สร้างเหรียญ ทองคำและเงินที่ระลึก  เรียกว่า  “ เหรียญเฉลิมพระชันษาครบ  60  ปีบริบูรณ์ ”   ราษฏรทั่วไปเรียกกันว่า  เหรียญแต้เม้ง   เพ อพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางข้าราชการ